ความสำคัญของการคงสภาพชิ้นเนื้อและชนิดของน้ำยาคงสภาพชิ้นเนื้อ (Fixative)
ภัทราวุธ แสงนวล
นักวิทยาศาสตร์ ชำนาญการ
ห้องปฏิบัติการจุลพยาธิวิทยา
การตรวจวินิจฉัยทางด้านจุลพยาธิวิทยา (Histopathology) เป็นเทคนิควิธีการเพื่อตรวจหาความผิดปกติหรือรอยโรคต่างๆ ในเนื้อเยื่อของสัตว์ได้ละเอียดถึงระดับเซลล์บนแผ่นสไลด์ชิ้นเนื้อ ซึ่งในกระบวนการเตรียมแผ่นสไลด์ชิ้นเนื้อนั้น ตัวอย่างชิ้นเนื้อต้องผ่านขั้นตอนการเตรียมเนื้อเยื่อหลายขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนการเก็บรักษาสภาพของชิ้นเนื้อตัวอย่าง เป็นขั้นตอนแรกที่มีความสำคัญมากที่สุด ถ้าวิธีการเก็บรักษาสภาพตัวอย่างได้ไม่ดีส่งผลให้ตัวอย่างเสื่อมสภาพหรือเน่า เป็นผลกระทบทำให้ได้แผ่นสไลด์ชิ้นเนื้อที่ได้มีสภาพที่ไม่สมบูรณ์ รายละเอียดขององค์ประกอบของโครงสร้างของเนื้อเยื่อไม่ครบถ้วน ทำให้การตรวจวินิจฉัยทางพยาธิเป็นไปได้ยาก ไม่สามารถสรุปผลการตรวจวินิจฉัยหรือได้ผลที่ไม่สอดคล้องถูกต้องกับความผิดปกติของโรคที่เกิดขึ้น เป็นผลให้เสียค่าใช้จ่ายและเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นเพื่อให้การตรวจวินิจฉัยทางด้านจุลพยาธิวิทยาทางสัตวแพทย์เป็นไปอย่างถูกต้องแม่นยำ นำมาซึ่งแนวทางในการรักษาและป้องกันที่มีประสิทธิภาพ ทางห้องปฏิบัติการจุลพยาธิวิทยาจึงขอนำเสนอข้อมูลความรู้ความสำคัญการคงสภาพชิ้นเนื้อและชนิดของน้ำยาคงสภาพชิ้นเนื้อแก่ผู้เก็บตัวอย่างหรือผู้ศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องในการส่งตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อประโยชน์ในการเลือกใช้สำหรับส่งชิ้นเนื้อตรวจวินิจฉัยทางด้านจุลพยาธิวิทยาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
การคงสภาพชิ้นเนื้อ เป็นกระบวนการสำคัญในการรักษาเซลล์และเนื้อเยื่อให้อยู่ในสภาพที่ใกล้เคียงกับสภาพขณะมีชีวิตอยู่ให้มากที่สุด โดยคำนึงถึงขนาด รูปร่าง ลักษณะ และตำแหน่งขององค์ประกอบทางเคมี และยับยั้งกระบวนการเกิดการเน่าเปื่อย (Autolysis) ตามธรรมชาติของชิ้นเนื้อ ด้วยวิธีการเก็บรักษาชิ้นเนื้อแช่ลงในน้ำยาคงสภาพชิ้นเนื้อ (fixative) ทันที มีปริมาตรของน้ำยาคงสภาพอย่างน้อย 10 เท่าของชิ้นเนื้อ ก่อนส่งห้องปฏิบัติการเพื่อเตรียมสไลด์ชิ้นเนื้อ สำหรับการตรวจวินิจฉัยทางด้านจุลพยาธิวิทยา
ความสำคัญของน้ำยาคงสภาพชิ้นเนื้อ
น้ำยาคงสภาพชิ้นเนื้อมีความสำคัญในหลายด้าน ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1.การรักษาความสมบูรณ์ของโครงสร้างเนื้อเยื่อ
น้ำยาคงสภาพชิ้นเนื้อช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางเคมีและโครงสร้างของเซลล์และเนื้อเยื่อ ป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์ภายหลังการตาย (post mortem condition) ยับยั้งแบคทีเรียไม่ให้เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อ ยับยั้งเอนไซม์ไม่ให้เกิดการย่อยสลายตัวเอง ช่วยให้โครงสร้างของเซลล์ยังคงความสมบูรณ์เหมือนเดิม รักษาสภาพองค์ประกอบภายในเซลล์ (protoplasm) ของเนื้อเยื่ออยู่ในสภาพแข็งตัว (solid phase) ไม่เสียหายกลายเป็นของเหลว เปลี่ยนเซลล์ให้อยู่ในสภาพที่คงตัวไม่เสื่อมสลายไปในระหว่างขั้นตอนต่างๆของกระบวนการเตรียมเนื้อเยื่อ ป้องกันเซลล์ไม่ให้เปลี่ยนรูป (distortion) หรือเหี่ยวย่น (shrinkage) เมื่อถูกแช่ในสารละลายประเภทแอลกอฮอล์หรือพาราฟินหลอมละลายและไม่ถูกทำลายด้วยสารเคมีจากกระบวนการย้อมสีเพื่อการตรวจวินิจฉัย
2.ช่วยให้การตรวจวินิฉัยทางพยาธิวิทยาถูกต้องแม่นยำ
น้ำยาคงสภาพช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์และเนื้อเยื่อเกิดการเสื่อมสลายและช่วยให้การย้อมติดสีดีขึ้น ส่งผลทำให้การตรวจวินิจฉัยทางจุลพยาธิวิทยามีความแม่นยำและสามารถตรวจวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง การใช้น้ำยาคงสภาพที่เหมาะสมจะช่วยลดความผิดพลาดในการตรวจวินิจฉัยด้วยกล้องจุลทรรศน์ส่งผลการตรวจวินิจฉัยมีความถูกต้องน่าเชื่อถือ
3.สามารถเก็บรักษาสภาพตัวอย่างไว้ได้นานเพื่อนำกลับมาศึกษาและวิจัยได้ในอนาคต
น้ำยาคงสภาพทำให้สามารถเก็บรักษาชิ้นเนื้อไว้ได้นานและสามารถเก็บรักษาตัวอย่างเพื่อนำไปศึกษาเพิ่มเติมได้ในภายหลัง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการวิจัยในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในการศึกษาวิจัยย้อนกลับ (Retrospective study) ของการเกิดโรคสำคัญในสัตว์ เป็นต้น
ภาพประกอบ ลักษณะชิ้นเนื้อในน้ำยาคงสภาพที่สมบูรณ์ (A) และ ลักษณะชิ้นเนื้อในน้ำยาคงสภาพที่ไม่สมบูรณ์ (B)
ชนิดของน้ำยาคงสภาพชิ้นเนื้อ
น้ำยาคงสภาพชิ้นเนื้อมีหลายชนิด โดยแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการทำให้เนื้อเยื่อคงสภาพแตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งานที่ต้องการ ซึ่งชนิดหลักๆ ของน้ำยาคงสภาพชิ้นเนื้อที่นิยมใช้ ได้แก่
10% ฟอร์มาลิน (10% Formalin)
ฟอร์มาลินเป็นน้ำยาคงสภาพที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและมีราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับน้ำยาคงสภาพชนิดอื่นๆ มีประสิทธิภาพในการแทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทำให้ชิ้นเนื้อแข็งเกินไป สามารถรักษาและคงสภาพชิ้นเนื้อไว้ได้นาน โดยทั่วไปจะใช้ฟอร์มาลินในความเข้มข้น 10% ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่เหมาะสมที่จะช่วยให้เซลล์และเนื้อเยื่อไม่เสื่อมสภาพเร็วเกินไป ช่วยในการคงสภาพโครงสร้างของเซลล์ได้ดี แต่ก็มีข้อเสียคือหากใช้ระยะเวลาในการคงสภาพนานเกินไปสำหรับชิ้นเนื้อเยื่อเล็กๆ อาจทำให้ชิ้นเนื้อเยื่อบิด งอ หดตัวได้ และ อาจเกิดผลึกฟอร์มาลินตกค้าง (formalin pigment) ในเนื้อเยื่อ นอกจากนี้สำหรับผู้ใช้จะเกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังจากการสัมผัสโดยตรง และไอของฟอร์มาลินจะเป็นอันตรายต่อทางเดินหายใจ ดังนั้นผู้ใช้จะต้องมีความระมัดระวังควรสวมถุงมือและหน้ากากป้องกันไอระเหยสารเคมีทุกครั้ง
10%นิวทรัลบัฟเฟอร์ฟอร์มาลิน (10% Neutral buffered formalin)
10%นิวทรัลบัฟเฟอร์ฟอร์มาลิน เป็นน้ำยาคงสภาพที่มีส่วนผสมของเกลือโซเดียมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการคงสภาพชิ้นเนื้อได้ดี มีสภาพเป็นกลางเป็นผลดีต่อเนื้อเยื่อและไม่ทำให้เกิดผลึกฟอร์มาลิน (formalin pigment) ตกค้างในเนื้อเยื่อ เป็นน้ำยาคงสภาพชิ้นเนื้อที่เหมาะสมมากและนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในงานประจำทางด้านจุลพยาธิวิทยา
แอลกอฮอล์ (Alcohol)
แอลกอฮอล์เช่น เอทานอล (Ethanol) หรือไอโซโพรพานอล (Isopropanol) เป็นน้ำยาคงสภาพที่นิยมใช้ในบางกรณี เช่น ในการรักษาโครงสร้างของโปรตีนและเซลล์บางชนิด ช่วยในการรักษาความชัดเจนของโครงสร้างได้ดี เหมาะกับเนื้อเยื่อที่ต้องการตรวจทางอณูชีวโมเลกุล
น้ำยาบูแองส์ (Bouin’s fluid)
ใช้คงสภาพเนื้อเยื่อทั่วๆไป และการศึกษาในกรณีพิเศษ เช่น ไกลโคเจน นอกจากนี้ยังสามารถคงสภาพลักษณะทางสัณฐานวิทยาของเนื้อเยื่อได้ดีโดยเฉพาะเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และช่วยให้มองเห็นรายละเอียดของนิวเคลียสได้ชัดเจนมากด้วยการย้อมสีมาตรฐาน (H&E)
สารละลายคานอยส์ (Carnoy’s fluid)
เป็นน้ำยาคงสภาพที่แทรกซึมได้เร็ว ทำให้โปรตีนและกรดนิวคลิอิกแข็งตัว และจะสกัดไขมันออกมา (extract lipid) ส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตส่วนมากจะถูกคงสภาพไว้
สารละลายเฮลลีส์ (Helly’s fluid)
ใช้คงสภาพส่วนประกอบต่างๆที่อยู่ในไซโพลาสซึม (cytoplasmic element) เช่นไมโตคอนเดรีย(mitochondria) และซีครีทอรี่แกรนูล (secretory granule) นอกจากนั้นยังคงสภาพอวัยวะเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ (endocrine organ) และอวัยวะที่มีเลือดมาก (haemopoietic tissue) เช่น ม้าม ตับ
สรุป
น้ำยาคงสภาพชิ้นเนื้อ (Fixative) เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการตรวจวินิจฉัยทางจุลพยาธิวิทยา เพราะช่วยให้โครงสร้างของเซลล์และเนื้อเยื่อคงความสมบูรณ์ สามารถรักษาคุณภาพของชิ้นเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้การตรวจวินิจฉัยมีความแม่นยำและช่วยในการศึกษาเกี่ยวกับโรคต่างๆ ได้อย่างละเอียด การเลือกใช้น้ำยาคงสภาพที่เหมาะสมกับประเภทของชิ้นเนื้อทางด้านจุลพยาธิวิทยา จึงเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเก็บชิ้นเนื้อเพื่อให้ผลการตรวจวินิจฉัยเป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำ สู่แนวทางการรักษาและป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เอกสารอ้างอิง
– ศุภลักษณ์ โรมรัตนพันธ์. (2545). เทคนิคเนื้อเยื่อสัตว์. กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลันเกษตรศาสตร์.
– กัลยา ผลากรกุล, พญ. (2534). เนื้อเยื่อพื้นฐานของร่างกายและหลักการปฏิบัติงานด้านพยาธิวิทยา. กรุงเทพฯ:สถาบันพยาธิวิทยา กรมการแพทย์ กระทรวง สาธารณสุข.
เปิดให้บริการทุกวัน
จันทร์-อาทิตย์ เวลา 8.30-16.30 น.
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
ติดต่อ 081-9868018
E-mail : kuvetdiag@ku.th
Line OA : @kvdc.ku